top of page

ไต

หน้าที่ของไต (Kidney Functions)

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่หลักในการรักษาสมดุลของร่างกาย มีบทบาทสำคัญหลายด้าน ได้แก่

1. กำจัดของเสียและสารพิษ (Waste Excretion)

ไตกรองของเสียจากกระแสเลือด เช่น ยูเรีย (Urea), ครีเอตินิน (Creatinine) และสารพิษอื่นๆ

ของเสียเหล่านี้จะถูกขับออกทาง ปัสสาวะ


2. ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ (Fluid and Electrolyte Balance)

ควบคุมระดับน้ำในร่างกาย ไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป

ควบคุมสมดุลของ โซเดียม (Na+), โพแทสเซียม (K+), แคลเซียม (Ca2+), ฟอสเฟต (PO4-) และไอออนอื่นๆ


3. ควบคุมความเป็นกรด-ด่างของร่างกาย (Acid-Base Balance)

ปรับสมดุล pH ของเลือด เพื่อให้ร่างกายไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป

กำจัดไฮโดรเจนไอออน (H+) และรักษาระดับไบคาร์บอเนต (HCO3-)


4. ผลิตฮอร์โมนสำคัญ (Hormone Production)

ไตผลิตฮอร์โมนที่มีบทบาทต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่:
✅ อีริโทรโพอิติน (Erythropoietin, EPO) – กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก
✅ เรนิน (Renin) – ควบคุมความดันโลหิตโดยการควบคุมการหดตัวของหลอดเลือด
✅ แคลซิทริออล (Calcitriol, Active Vitamin D) – ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อรักษาสุขภาพกระดูก

5. ควบคุมความดันโลหิต (Blood Pressure Regulation)

ไตช่วยควบคุมความดันโลหิตผ่านระบบ เรนิน-แองจิโอเทนซิน-อัลโดสเตอโรน (RAAS)

หากไตทำงานผิดปกติ อาจทำให้เกิด ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ได้


6. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (Glucose Regulation)

ไตสามารถสร้างกลูโคสจากกรดอะมิโน (Gluconeogenesis) ในภาวะที่ร่างกายขาดพลังงาน


สรุป:

ไตไม่ได้ทำหน้าที่แค่กรองของเสีย แต่ยังช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต ผลิตฮอร์โมน และมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้น หากไตทำงานผิดปกติ อาจส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย และทำให้เกิดโรคไต หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

ภาวะไตวาย

ภาวะไตวาย (Kidney Failure)

ภาวะไตวายคือภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำหน้าที่กรองของเสีย ขจัดน้ำส่วนเกิน และควบคุมสมดุลของร่างกายได้อย่างเต็มที่ เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง

ประเภทของภาวะไตวาย:

1. ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury, AKI)

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียอย่างทันทีทันใด

สาเหตุอาจมาจากการขาดเลือดไปเลี้ยงไต การบาดเจ็บที่ไตโดยตรง หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของไต

หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไตอาจกลับมาทำงานได้ตามปกติ

 

2. ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease, CKD)

เกิดขึ้นจากการที่การทำงานของไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง เป็นเวลานาน

สาเหตุหลักมักมาจากโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไตอักเสบ

เมื่อภาวะไตวายเรื้อรังเข้าสู่ระยะสุดท้าย (End-Stage Renal Disease, ESRD) ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฟอกไต (Dialysis) หรือปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)

 


สาเหตุของภาวะไตวาย:

โรคเบาหวาน (Diabetes) – ระดับน้ำตาลในเลือดสูงสามารถทำลายเนื้อเยื่อไตได้

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) – ความดันโลหิตที่สูงอย่างต่อเนื่องทำให้หลอดเลือดในไตเสื่อมสภาพ

โรคไตอักเสบ (Glomerulonephritis) – การอักเสบที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของไต

การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะหรือไต (Pyelonephritis)

นิ่วในไต (Kidney Stones) ที่อุดตันระบบการขับถ่ายของไต

การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)


อาการของภาวะไตวาย:

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

บวมที่ขาและข้อเท้า เนื่องจากร่างกายขจัดน้ำส่วนเกินออกไม่ได้

ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะน้อยลง มีฟอง หรือมีสีเข้ม

ความดันโลหิตสูง ที่ไม่สามารถควบคุมได้

คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร

คันทั่วร่างกาย เนื่องจากของเสียสะสมในร่างกาย

หายใจลำบาก เนื่องจากของเหลวสะสมในปอด


การรักษาภาวะไตวาย:

1. การฟอกไต (Dialysis) – การขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายเมื่อไตไม่สามารถทำงานได้


2. การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) – การทดแทนไตที่สูญเสียการทำงานด้วยไตจากผู้บริจาค


3. การควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และป้องกันการติดเชื้อ


4. การปรับเปลี่ยนอาหาร – ลดการบริโภคเกลือ โปรตีน และอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง

 

การป้องกันภาวะไตวาย:

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อไตเป็นระยะเวลานาน

ดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการขาดน้ำ

ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาโรคที่อาจมีผลกระทบต่อไต


DSC_4004.jpg

ทำไมต้องฟอกไต

ทำไมต้องฟอกไต?

การฟอกไต (Dialysis) เป็นกระบวนการทดแทนการทำงานของไตเมื่อไตไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสีย ขับน้ำส่วนเกิน และรักษาสมดุลของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฟอกไตจึงจำเป็นในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะไตวายระยะสุดท้าย (End-Stage Renal Disease, ESRD) หรือในบางกรณีของไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury, AKI)


---

เหตุผลที่ต้องฟอกไต

1. กำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย

เมื่อไตทำงานผิดปกติ ของเสีย เช่น ยูเรีย (Urea), ครีเอตินิน (Creatinine), และสารพิษต่างๆ จะสะสมในเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

หากของเสียสะสมในระดับสูง อาจทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง และหมดสติ


2. ควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย

ไตช่วยขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย หากไตทำงานไม่ได้ น้ำอาจสะสมใน ปอด หัวใจ และเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิด อาการบวม หายใจลำบาก ความดันโลหิตสูง และหัวใจล้มเหลว

การฟอกไตช่วยลดน้ำส่วนเกินและป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้


3. รักษาสมดุลเกลือแร่และกรด-ด่างในร่างกาย

ไตมีหน้าที่ควบคุมระดับ โพแทสเซียม (K+), โซเดียม (Na+), แคลเซียม (Ca2+), ฟอสเฟต (PO4-) และรักษาความเป็นกรด-ด่างของเลือด

หากไตไม่ทำงาน ระดับเกลือแร่ผิดปกติอาจทำให้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดอาการโคม่า


4. ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไตวายเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่ไม่ได้ฟอกไตเมื่อจำเป็น อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง และกระดูกพรุน

 

---

ใครบ้างที่ต้องฟอกไต?

การฟอกไตจำเป็นสำหรับผู้ที่มีภาวะ ไตวายระยะสุดท้าย (ESRD) หรือไตเสื่อมลงจนไม่สามารถทำงานได้อย่างเพียงพอ ซึ่งมักเกิดเมื่อไตเหลือความสามารถในการทำงาน ต่ำกว่า 15% ของไตปกติ

แพทย์จะแนะนำให้ฟอกไตหากผู้ป่วยมี:
✅ อาการของไตวายขั้นรุนแรง เช่น อาการบวม หายใจลำบาก อ่อนเพลีย คลื่นไส้
✅ ระดับของเสียในเลือดสูง โดยเฉพาะค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) และ Creatinine
✅ ระดับโพแทสเซียมสูงผิดปกติ (Hyperkalemia) ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
✅ ภาวะน้ำท่วมปอดหรือความดันโลหิตสูงรุนแรง ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา


---

ประเภทของการฟอกไต

1. ฟอกเลือด (Hemodialysis, HD)

ใช้เครื่องไตเทียมช่วยกรองของเสียออกจากเลือด

ทำที่โรงพยาบาลหรือคลินิกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 3-5 ชั่วโมง

เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่สามารถเดินทางมารับการรักษาได้

 

2. ล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis, PD)

ใช้น้ำยาฟอกไตผ่านทางสายที่ฝังในช่องท้องเพื่อขจัดของเสีย

ผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ ใช้เวลาประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน หรือแบบอัตโนมัติขณะนอนหลับ

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน

 

 

---

ถ้าไม่ฟอกไตจะเกิดอะไรขึ้น?

หากไม่ฟอกไตเมื่อถึงระยะที่จำเป็น ของเสียจะสะสมในเลือดจนเป็นพิษต่อร่างกาย

อาจทำให้เกิด ภาวะน้ำเกิน หัวใจล้มเหลว หายใจลำบาก ความดันโลหิตสูงผิดปกติ และหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ในที่สุดอาจนำไปสู่ อาการโคม่า และเสียชีวิต

 

---

สรุป:

การฟอกไตเป็นกระบวนการที่ช่วยทดแทนการทำงานของไตที่ล้มเหลว เพื่อรักษาชีวิต ลดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ การเลือกประเภทของการฟอกไตขึ้นอยู่กับ สภาพร่างกาย วิถีชีวิต และคำแนะนำจากแพทย์

DSC_4145.jpg

การปฏิบัติตัวหลังการฟอกไต

การปฏิบัติตัวหลังการฟอกไต (Post-Dialysis Care)

หลังการฟอกไต ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี นี่คือคำแนะนำสำคัญที่ควรปฏิบัติ:


---

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

✅ หลังฟอกไต ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อย เพลีย หรือเวียนศีรษะ ควรนั่งพักหรือนอนพักจนกว่ารู้สึกดีขึ้น
✅ หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ ทันทีหลังฟอกไต เช่น ยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนัก


---

2. ดูแลบริเวณที่ทำการฟอกไต

✅ หากฟอกเลือด (Hemodialysis - HD)

ตรวจดู แผลที่เส้นฟอกไต (Fistula/Graft/Catheter) หากมี บวม แดง ร้อน หรือปวด ควรรีบแจ้งแพทย์

หลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณที่เจาะฟอกไต เช่น ห้ามวัดความดันหรือเจาะเลือดที่แขนข้างนั้น

หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อแขนรัดแน่นเกินไป


✅ หากล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis - PD)

ดูแล สายล้างไตให้สะอาด ป้องกันการติดเชื้อ

หลีกเลี่ยงการเปียกน้ำบริเวณสายสวน เช่น ไม่แช่น้ำในอ่างหรือสระว่ายน้ำ

 

---

3. ควบคุมอาหารและน้ำดื่ม

✅ จำกัดปริมาณ น้ำดื่ม ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดภาวะน้ำเกินและบวม
✅ หลีกเลี่ยง อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มะเขือเทศ มะม่วง น้ำส้ม น้ำมะพร้าว เพื่อป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
✅ จำกัด โซเดียม (เกลือ) และฟอสฟอรัส เช่น อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และนม เพื่อป้องกันความดันโลหิตสูงและโรคกระดูกพรุน
✅ รับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ปลา ไข่ขาว เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพื่อช่วยซ่อมแซมร่างกาย


---

4. สังเกตอาการผิดปกติ

หลังฟอกไต ควรเฝ้าระวังอาการที่อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น:
🚨 วิงเวียนศีรษะ เป็นลม หรืออ่อนเพลียมากผิดปกติ – อาจเกิดจาก ความดันโลหิตต่ำ
🚨 บวมที่ขา มือ หรือหน้าบวมมากขึ้น – อาจเกิดจาก ภาวะน้ำเกิน
🚨 ปวดบริเวณแผลฟอกไตหรือมีไข้ – อาจเกิดจาก การติดเชื้อ
🚨 หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก – อาจเป็นภาวะ น้ำท่วมปอด

หากมีอาการเหล่านี้ควร รีบพบแพทย์ทันที


---

5. รับประทานยาให้ตรงเวลา

✅ ยาที่แพทย์จ่าย เช่น ยาควบคุมฟอสฟอรัส, ยาลดความดันโลหิต, ยาขับปัสสาวะ, วิตามินสำหรับผู้ป่วยไต ควรรับประทานให้ครบถ้วน
✅ ห้ามหยุดยาเอง หรือซื้อยากินเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์


---

6. ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย

✅ การเดิน โยคะ หรือยืดกล้ามเนื้อเบาๆ สามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
✅ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ที่อาจทำให้เหนื่อยมากเกินไป


---

7. ตรวจสุขภาพตามนัดเสมอ

✅ ไปฟอกไตตามเวลาที่แพทย์กำหนด ห้ามขาดการฟอกไต
✅ ตรวจระดับเกลือแร่ ความดันโลหิต และน้ำหนักตัวอย่างสม่ำเสมอ
✅ ปรึกษาแพทย์หากรู้สึกไม่สบายหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง


---

สรุป

การดูแลตัวเองหลังการฟอกไตช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและลดภาวะแทรกซ้อน สิ่งสำคัญคือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลเส้นฟอกไต ควบคุมอาหาร สังเกตอาการผิดปกติ และพบแพทย์ตามนัด

DSC_4148.jpg
IMG_2621.jpg
bottom of page